Last updated: 17 มี.ค. 2564 | 2162 จำนวนผู้เข้าชม |
เสียงสะท้อนแห่งความหวัง
“ พี่ครับ ผมอยากเรียนหนังสือต่อครับ มีทางไหนที่จะช่วยทำให้ผมได้เรียนต่อได้ครับ ”
เสียงนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจฉันเรื่อยมา ในท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้นทุกวัน จนส่งผล กระทบไปทั่วโลกทุกหย่อมยาก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง ปัญหาสุขภาพ หลายธุรกิจต่างล้มลง มีหลายคน ตกงาน และหลายคนจบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะไม่สามารถแบกรับปัญหาหนี้สิน และเผชิญกับความเจ็บปวดนี้ต่อไปได้ ฉันครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะหาหนทางช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสที่เรียนดีแต่ยากจนคนนี้ให้เรียนต่อไปจนถึงระดับปริญญาตรี ดังที่เขาฝันไว้ได้อย่างไรในสภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ หลายหน่วยงาน และหลายองค์กร ทั้งภาครัฐรวมถึงเอกชน ก็ต่างเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนักเช่นกัน แววตาที่มองมาที่ฉันด้วยความหวังพร้อมกับน้ำเสียงแห่งการรอคอย ยิ่งบีบหัวใจของฉันให้เจ็บปวดไปกับความรู้สึกนั้นด้วย เสียงนั้นทำให้ฉันย้อนคิดไปถึงประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กที่ผ่านมา …………..
ฉันเคยเป็นเด็กยากจนคนหนึ่ง ที่ไม่มีเงินแม้แต่จะจ่ายค่าหนังสือเรียนตอนเปิดเทอม แต่ฉันได้พบกับผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งที่ได้มอบหนังสือเรียนทั้งชุดให้กับฉันฟรี ฉันยังได้รับชุดนักเรียนฟรีจากรัฐบาลแม้จะปีละ 1 ชุด ก็ตาม
แต่มันก็ทำให้ฉันมีชุดนักเรียนใส่ไปโรงเรียน ฉันเคยได้รับค่าอาหารกลางวันฟรีจากครูใจดีท่านหนึ่ง เพราะท่านสงสารที่เห็นฉันต้องกินข้าวกับมาม่าใส่ผักบุ้งทุกวัน และฉันยังเคยได้รับทุนการศึกษาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง เป็นจำนวนเงิน 2,000 บ.เมื่อ 29 ปีก่อน ซึ่งถือว่ามากโขสำหรับเด็กยากจนอย่างฉัน ฉันยังคงจดจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ความจนยังเคยบังคับให้ฉันต้องทำในสิ่งไม่ดีนั่นคือ การเป็นขโมย ฉันต้องกลายเป็นขโมยโดยไม่ตั้งใจเพราะความหิว จึงได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดพลาดนั้นลงไป แต่เพราะการศึกษาได้นำพาให้ฉันมีความคิด มีโอกาสทำสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าทำในสิ่งที่ผิด จวบจนวันนี้ฉันได้กลายเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ เมื่อฉันคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตกับเสียงที่ขอความช่วยเหลือของเด็กคนนั้น มันช่างคล้ายคลึงกับความเจ็บปวดที่ฉันต้องเผชิญในวัยเด็ก ฉันถามตัวเองว่า “ ฉันผ่านเหตุการณ์ความยากลำบากนั้นมาได้อย่างไร ” ฉันมั่นใจว่า เพราะคำว่า โอกาส โอกาสที่ผู้อื่นได้หยิบยื่นให้กับฉัน มันช่วยให้ฉันได้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี โอกาสที่ฉันได้รับนั้นมีคุณค่าและยิ่งใหญ่สำหรับฉัน แม้ฉันจะต้องทำงานและเรียนไปด้วย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกท้อถอย เพราะรู้ดีว่ายังมีผู้ที่ให้โอกาสฉันคอยเป็นกำลังใจให้ฉันอยู่ข้างหลัง ท่านไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน แต่ท่านคาดหวังให้ฉันเป็นคนดี มีอนาคต ที่ดี ถึงตอนนี้ฉันได้กลับมาตอบสังคมและตอบแทนท่านผู้อุปการะที่เมตตาช่วยส่งเสริมฉัน ปัจจุบันดิฉันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ที่มูลนิธิสันติสุข และเข้าใจหัวใจของเด็กยากจนได้เป็นอย่างดี และรู้ดีว่าการศึกษาจะเป็นรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ประเทศชาติของเราได้พัฒนาได้ต่อไปอย่างมีศักยภาพ
จะดีสักเท่าใดหากเด็กๆเหล่านั้น จะได้แปรเปลี่ยนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และพัฒนาบ้านเมือง ให้กับประเทศไทยของเราต่อไป ขอเชิญชวนท่านที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเด็กด้อยโอกาสเหล่านี้ด้วยกันกับมูลนิธิสันติสุขค่ะ
เสียงสะท้อนแห่งความหวัง
เรียบเรียงบทความโดย : คุณชลดา ใยบัว
เจ้าหน้าที่สงคมสงเคราะห์ ของมูลนิธิสันติสุข
18 ก.พ. 2564
18 ก.พ. 2564
21 มิ.ย. 2565
22 ก.พ. 2564