คุณสิริกร สุทธิวรรณ

Last updated: 18 ก.พ. 2564  |  3084 จำนวนผู้เข้าชม  | 

คุณสิริกร สุทธิวรรณ

เมื่อหลายปีก่อนเพื่อนคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า เขาได้รับเด็กไว้อุปการะหนึ่งคน ซึ่งเราฟังแล้วก็รู้สึกว่าอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง อยากจะเป็นผู้ให้บ้าง แต่ก็ยังติดขัดว่าค่าใช้จ่ายมีมาก จึงต้องระงับเอาไว้ก่อน ต่อมาอีกเป็นปีค่าใช้จ่ายก็ยังติดขัดเหมือนเดิม รู้สึกว่าเงินไม่ค่อยพอใช้เลย แต่ความอยากจะเป็นผู้อุปถัมภ์ก็ยังคงอยู่ และเริ่มคิดได้ว่า “ถ้าไม่เริ่มวันนี้ แล้วเราจะเริ่มวันไหน” ดังนั้นจึงได้เริ่มต้นค้นหาข้อมูลทั้งจากอินเตอร์เน็ตและโบรชัวร์ต่างๆ และก็ได้พบกับโบรชัวร์ของมูลนิธิสันติสุขที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจนมั่นใจว่าเงินที่บริจาคจะนำไปช่วยเหลือเด็กจริงๆ จึงได้รับเด็กไว้อุปการะหนึ่งคน แม้เงินที่บริจาคจะแค่เดือนละ 500 บาท แต่ลึกๆแล้วก็ยังคงไม่มั่นใจว่าเราจะสามารถอุปการะเด็กไปได้นานสักแค่ไหน เพราะค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ไม่น้อยเลย แต่เมื่อตั้งใจแล้วก็ต้องทำให้ได้และจนถึงวันนี้ก็ไม่เสียใจเลยที่ได้ตัดสินใจรับอุปการะเด็กคนนี้

หลังจากที่ได้รับอุปการะเด็กกับมูลนิธิ ก็เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับตัวเอง จากที่เคยรู้สึกว่าเงินไม่ค่อยพอใช้ในแต่ละเดือน ก็กลับรู้สึกว่าเราควบคุมค่าใช้จ่ายตัวเองได้ดีขึ้น จากที่เคยคิดแต่จะเป็นผู้รับ เราก็คิดอยากจะเป็นผู้ให้ เวลาถึงตามเทศกาลต่างๆเช่น วันปีใหม่ หรือวันเกิดของเด็ก ก็จะรู้สึกมีความสุขและกระตือรือร้นที่จะออกไปเสาะหาว่าปีใหม่ปีนี้ เราจะซื้ออะไรให้มูลนิธิเอาไปแจกเด็กดี หรือว่าในวันเกิดของเด็ก เราจะซื้ออะไรให้ดี แม้สิ่งที่ได้รับกลับมาจะเป็นแค่จดหมายขอบคุณฉบับเดียว แต่ข้างในก็มีภาพประทับใจที่เห็นเด็กๆถือของขวัญปีใหม่ของเราอยู่ และภาพบรรยากาศภายในงานทุกคนต่างก็มีความสุข และที่ประทับใจมากไปกว่านั้น คือเวลาที่ได้รับจดหมายจากเด็กที่เราอุปการะไว้ แม้เด็กจะเขียนมาไม่มาก เขียนถูกบ้างผิดบ้าง ลายมือก็เป็นแบบเด็กๆเขียน แต่สิ่งที่ส่งผ่านตัวหนังสือไม่ว่าจะเป็นความฝันของเขา คำขอบคุณความห่วงใย คำบรรยายถึงชีวิตความเป็นอยู่ ได้อ่านเมื่อไหร่ก็รู้สึกดีใจและมีความสุข ที่แม้ว่าเขาจะยากจน ขาดโอกาสหลายๆอย่างในชีวิต แต่ก็ไม่ท้อแท้ ยังคงตั้งใจจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน และตั้งใจจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง 

แม้วันนี้เด็กๆ จะได้รับการอุปการะมากขึ้น แต่ยังมีเด็กที่ยากจนและขาดโอกาสอีกจำนวนมากทั่วประเทศ ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ อย่าว่าแต่จะทำความฝันให้เป็นจริงได้เลย แค่หาข้าวกินให้อิ่มไปวันๆ ก็ยังยาก หากยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป ปัญหาเด็กด้อยโอกาส ปัญหาความยากจน ก็ยังคงอยู่กับสังคมไทยอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแต่หากเราอยากให้สังคมเปลี่ยน ก็คงต้องเปลี่ยนที่ตัวเราเองก่อน เปลี่ยนจากเป็นผู้รับมาเป็นผู้ให้ กระจายความคิดนี้ต่อๆ กันไปเหมือนแพร่เชื้อไวรัสแห่งความดี เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอสังคมไทยต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน

คุณสิริกร สุทธิวรรณ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้